สรุปความรู้จากการประชุม วิชาการ Cardiac network forum ครั้งที่ 4
ชื่อ-สกุลผู้นำการจัดการความรู้ อ.ยศพล เหลืองโสมนภา
ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ (ด้านการสอน)
สังกัดภาควิชา การพยาบาลเด็ก ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
วันที่ประชุมจัดการความรู้ 4 พฤษภาคม 2555 เวลา 11.30 – 12.00 น
สถานที่ประชุม ห้องรับรอง วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี
รายชื่ออาจารย์ที่ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
- อ. คนึงนิตย์ พงษ์สิทธิถาวร
- อ. สาคร พร้อมเพราะ
- อ. สุชาดา นิ้มวัฒนากุล
- อ. คงขวัญ จันทรเมธากุล
- อ. นวนันท์ ปัทมสุทธิกุล
- อ. รัชสุรีย์ จันทเพชร
- อ. สุปราณี ฉายวิจิตร์
- อ. ดร ทองสวย สีทานนห์
- อ. วารุณี สุวรวัฒนกุล
- อ. พจนาถ บรรเทาวงษ์
- อ. รสสุคนธ์ เจริญสัตย์ศิริ
- อ. รุ่งนภา เขียวชะอ่ำ
- อ. นุชนาถ ประกาศ
- อ. จริยาพร วรรณโชติ
- อ. ศศิโสภิต แพงศรี
- อ. สุภา คำมะฤทธิ์
สรุปความรู้และแนวคิดที่ได้รับ
สืบเนื่องจาก อ. ยศพล เหลืองโสมนภา และอาจารย์รุ่งนภา เขียวชะอ่ำ ได้เข้าร่วมประชุมวิชาการ Cardiac network forum ครั้งที่ 4 ในวันที่ 22 – 24 กุมภาพันธ์ 2555 ณ. โรงแรมรอยัลภูเก็ตซิตี้ จังหวัดภูเก็ตนั้น ได้ข้อสรุปที่เป็นองค์ความรู้ที่น่าสนใจของการดูแลรักษาโรคหัวใจที่สำคัญ ซึ่งโรคในกลุ่มของโรคหัวใจนั้น จัดเป็นโรคเรื้อรังที่ที่มีความสำคัญยิ่งได้แก่ โรค Hypertension Congestive heart failure ACS และ Arrhythmia ซึ่งตรงกับความต้องการพัฒนาความเชี่ยวชาญของวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้าในเรื่องของการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง บุคลากรของวิทยาลัยจึงจำเป็นต้องมีการอบรมความรู้เพิ่มเติมโดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้มีความรู้เฉพาะในโรคต่างๆเหล่านี้ จำเป็นทึ่จะต้องมีการค้นคว้าให้มากขึ้น เพราะความรู้ไม่ได้หาอ่านได้เองจากตำรา หรือทำวิจัยเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น แต่ในการประชุมนั้น ความรู้ยังได้มาจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือได้รับรู้แนวทางการรักษาหรือการพยาบาลใหม่ๆที่ยังไม่ได้มีการตีพิมพ์เผยแพร่
ความรู้หรือแนวทางการรักษาพยาบาลใหม่ๆหรือที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน สรุปได้ดังนี้
1. ปัจจุบัน ยังไม่มี JNC 8 Guideline ในเรื่องโรคความดันโลหิตสูง แต่สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยได้พัฒนา Guideline รักษาโรคความดันโลหิตสูง ออกมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตาม JNC 8 Guideline ที่จะประกาศออกมา
2. ปัจจุบัน ให้ถือว่าผู้ที่เป็น DM , AAA , Peripheral disease เป็น CAD risk equivalent แล้ว หรือหมายความว่า มี risk เทียบเท่ากับการเป็น CAD ไปแล้ว
3. SHT มี impact ต่อผู้ป่วยมากกว่า DHT นอกจากนี้ ยังรักษายากกว่าอีกด้วย
4. บุคลากรพยาบาลของโรงพยาบาลลำปาง ได้ทำการศึกษาวิจัย พัฒนาคุณภาพการพยาบาลโดยการปฏิบัติตามหลักฐานเชิงประจักษณ์ สำหรับการป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการฉีดยาต้านการแข็งตัวของเลือดเข้าใต้ผิวหนัง ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
5. ปัจจุบัน การอ่านผล EKG ในผู้ป่วย ACS นอกจากการพิจารณาในเรื่อง wall แล้ว จะสนใจว่า ตีบที่ตำแหน่งใดของ coronary ด้วย เช่นตีบที่ left main หรือไม่ ? เพราะมีประโยชน์มากกว่า ทั้งนี้ การบอกตำแหน่งที่ตีบสามารถเทียบจาก wall ได้ เช่น Extreme anterior wall MI จะเกิดการตีบที่ตำแหน่งของ Proximal LAD lesion
6. การวินิจฉัย AMI ทำได้โดย การมี cardiac enzyme เพิ่มหรือปกติ ร่วมกับการมีอย่างใดอย่างหนึ่งในต่อไปนี้
- Symtom
- EKG change
- การพัฒนาของ Q wave
- Image evidence of new myocardium infarction
(by echocardiography)
7. ในผู้ป่วย Prinzmetal’s angina จะเกิดจากการมี coronary artery spasm อย่างมาก แต่จะยังไม่มี clot เกิดขึ้น อาการมักเกิดตอนเช้า อาการจะดีขึ้นถ้าอมยาใต้ลิ้น สิ่งที่ควรจำในกลุ่มนี้คือ อาจจะมี ST elevate ได้ในช่วงแรก แต่หลังอมยาแล้ว EKG จะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น (จะไม่เหมือนกับ AMI) ดังนั้น ห้าม drip thrombolytis drug ในกลุ่มนี้เด็ดขาด
8. ST elevate ใน Inferior wall MI แล้วพบว่ามี reciprocal V 1 – 2 (คือมีการ กดลง) ให้ระวังมากๆด้วย เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ป่วยน่าจะมีปัญหาทั้ง inferior และ posterior wall
9. ถ้ามี Inferior wall MI แล้วมี RV infarction ร่วมด้วย แสดงว่ามี proximal RCA อุดตัน แต่ถ้ามีแค่ Inferior wall MI แล้วไม่มี RV infarction แสดงว่าการอุดตันอยู่ต่ำลงมาแล้ว
10. ผู้ป่วย STEMI ที่ Posterior wall จะเห็น ST depress เพราะ vector จะวิ่งไปด้านหลัง (ที่มีการตายของกล้ามเนื้อหัวใจ) ซึ่งจะอยู่ตรงกันข้ามกับขั้วที่ใช้วางไว้ที่หน้าอก ดังนั้น จึงเห็นเป็น ST depress ใน V 1 – 3 และ elevate ใน V 5 – 6
11. Reciprocal change คือการ change ของ wall ด้านตรงข้ามกับ wall ที่มีการตายของกล้ามเนื้อหัวใจ EKG จะพบ ST depress ข้อดีของการพิจารณา reciprocal change จะทำให้ Dx STEMI ได้แม่นยำขึ้น
12. กรณีที่มี Extreme anterior wall MI ปัญหานี้จะเกิดที่ตำแหน่งของ Proximal LAD lesion ดังนั้น EKG จะพบ V 1 – 6 elevate และ reciprocal changeที่ lead I และ aVF
13. การ Dx STEMI จาก EKG ควรมีการยกใน wall เดียวกันและควรมีหน้าตาเดียวกัน นอกจากนี้หากมี reciprocal change ด้วยจะดีมาก
14. ST elevate เกิดจาก epicardium injury ดังนั้นจะเกิดจากเหตุใดก็ได้ ผลจะทำให้ vector ของคลื่นไฟฟ้าหัวใจจากจุดนั้น วิ่งเข้าหาขั้ว EKG (วิ่งเข้าหาจุดที่มีการตาย) ทำให้ ST ยกได้
15. การยกของ ST ที่ typical ได้แก่ convex (ยกแบบหลังเต่า) แต่ถ้ายกแบบ concave (ยกแบบท้องช้าง) จะเป็นการยกแบบ atypical
16. Lead aVR เป็น lead ที่ใช้ check limb lead ในการอ่าน EKG ACS
17. มี Pitfall สำหรับการอ่าน EKG STEMI 11 ข้อคือ
Pitfall ที่ 1 ใน Pericarditis ST elevate ได้ แต่จะยกแบบ Diffuse และการยกใน wall เดียวกัน จะมีหน้าตาต่างกันได้ และไม่มี reciprocal
Pitfall ที่ 2 การจะอ่าน ST ยกหรือไม่นั้น ต้องอยู่บนฐานของ Narrow QRS complex เพราะถ้า Wide QRS จะอ่านได้ยาก หรืออ่านไม่ได้ เช่น LBBB จะมี wide QRS ST ยกได้ โดยไม่ใช่ STEMI
Pitfall ที่ 3 กรณี normal variance ST จะยกได้ แต่เป็นการยกที่ไม่ใช่ของจริง วิธีตรวจสอบให้สิ่งสายพาน ST ที่ยกจะหายไปได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย พวกนี้อาจมาด้วย Chest pain
Pitfall ที่ 4 กรณีที่เป็น Early repolarization ST จะยกได้ แต่ยกแบบท้องช้าง pattern คือ มี notch แล้วยกแบบ downslope
จะพบได้สูงสุดใน mid precordial ( V 3 – 4) แต่ยกสูงไม่เกิน 3 ช่อง พวกนี้จับวิ่งสายพานแล้วจะหายหมดเลย
Pitfall ที่ 5 กรณี ST ยกเฉพาะที่ V 5 -6 แล้วเรามอง Anterior MI แต่ทำ Echo แล้ว พบว่า Anterior ปกติ ให้ลองกลับ EKG จะกลายเป็น Posterior MI ได้
Pitfall ที่ 6 ST ยก และ QRS กว้าง เป็น Hyper K เช่น on ยา ACEI และไตไม่ดี
Pitfall ที่ 7 Bugada จะพบ RBBB ST Elevate ใน V 1 – 3 ได้
Pitfall ที่ 8 ST ยกได้ ใน RBBB ให้ระวังไว้
Pitfall ที่ 9 WPW จะมี delta ในบาง lead พวกนี้ QRS กว้าง และ ST จะมี vector ตรงกันข้ามกับ QRS
Pitfall ที่ 10 ST ยก โดยมี QRS กว้าง และเล็ก ให้คิดถึง AF with WPW พวกนี้ defib ก่อน แล้วจะทำให้ rate ช้าลง แล้วจึงจะเห็น delta ได้ชัดเจน (เพราะเป็น WPW rate จะเร็ว)
Pitfall ที่ 11 กรณีที่ผู้ป่วยอยู่ รพช มี ST elevate พอ อมยา isordil แล้วส่งมาที่เรา ปรากฏว่า ST หายไป อาจะเกิดจาก 1. อาจเกิด lysis ได้เอง 2. อาจแค่ prinzmetal คือหลอดเลือดหดเองมากๆ แต่พวกนี้จะไม่มี fix clot พวกนี้จับเดินสายพานจะไม่พบอะไร อมยาแล้วหายเอง
18. สรุป เวลาจะอ่าน EKG ST elevate ต้องพิจารณาดังนี้
* QRS อย่ากว้าง
* มี reciprocal change ?
* ใน lead เดียวกัน ควรมี QRS หน้าตาเดียวกัน กรณีที่มีทั้งแบบกว้างและแคบ ให้เลือกที่ตัวแคบไว้ก่อน
* ST elevate บอกได้ว่ามี epicardial injury ดังนั้น อาจไม่ใช่ STEMI ก็ได้
เพิ่มเติม กรณี ST elevate แล้วยังเห็น R wave ชัดเจน แสดงว่า การทำหน้าที่ของเวนตริเคิ้ลยังใช้ได้อยู่
หากเป็นไปได้ ผู้อ่านซึ่งมีความรู้ในเรื่องโรคหัวใจไม่มากนักอย่างดิฉัน มีข้อเสนอแนะให้ผู้เขียน KM ทุกเรื่องกรุณาลงตัวเต็มของคำย่อต่างๆ …ในเรื่องนี้เช่น JNC AAA SHT DHT ACS LAD ย่อมาจากอะไร ทั้งนี…เพื่อให้ผู้อ่านทุกคนได้ประโยชน์สูงสุดค่ะ
คำย่อดังกล่าว เป็นคำย่อสากลครับที่พบได้เสมอในตำราทั้งภาษาไทยและอังกฤษ แต่ไม่เป็นไรครับ หากมีโอกาส จะลงคำเต็มให้ครับ
ขอบคุณสำหรับ ความรู้ดีๆ ครับ