Recovery Model : กระบวนทัศน์ใหม่ในการดูแลบุคคลที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง

โครงการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานวิจัยและวิชาการร่วมกับแหล่งฝึก

ระหว่างวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า  จันทบุรีและกลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลพระปกเกล้า

ครั้งที่ 7  วันที่  20  กรกฎาคม  2554  เวลา 13.30-16.00 น.

ณ ห้องประชุมอเนกประสงค์  วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า  จันทบุรี

 

เรื่อง Recovery Model : กระบวนทัศน์ใหม่ในการดูแลบุคคลที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง

วิทยากร ดร.เชษฐา   แก้วพรม    RN, MN, PhD ภาควิชาการพยาบาลอนามัยชุมชนและจิตเวชศาสตร์

วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า  จันทบุรี

ผู้เข้าร่วมประชุม จากวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า  จันทบุรี จำนวน  36  คน

จากโรงพยาบาลพระปกเกล้า  8  คน

รวมผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด  44  คน

สรุปสาระการแลกเปลี่ยนเรียนรู้

สรุปประเด็นสำคัญจากการนำเสนอของ ดร.เชษฐา   แก้วพรม

การเจ็บป่วยทุกโรคส่งผลกระทบต่อสภาพจิตสังคมของตัวบุคคลและญาติ  ผลกระทบของการเจ็บป่วยเรื้อรัง มีหลายระดับและเป็นเหมือนปรากฏการณ์ภูเขาน้ำแข็ง  ความเจ็บป่วยที่ผู้อื่นมองเห็นได้นั้นมีเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความทุกข์ทรมานและความทุกข์ยากที่บุคคลต้องดำเนินชีวิตร่วมกับภาวะการเจ็บป่วยเรื้อรัง   แนวคิดการส่งเสริมกระบวนการฟื้นตัวทางจิตสังคม (psychological  recovery) จึงมีความจำเป็นในการดูแลบุคคลที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง  เพราะการเข้าใจกระบวนการฟื้นตัวทางจิตสังคมจะช่วยให้ผู้ดูแลเข้าใจวิธีการดูแลที่ตอบสนองความต้องการของบุคคลและครอบครัว  และช่วยเพิ่มคุณค่าในการบำบัดรักษาด้วย

Recovery Model  เป็นการอธิบายความหมายของการฟื้นตัวว่า  เป็นกระบวนการที่บุคคลเกิดการเรียนรู้ เข้าใจในภาวการณ์เจ็บป่วย  ตลอดจนปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตให้สามารถอยู่ร่วมกับภาวะการเจ็บป่วยได้อย่างมีความสุข  แม้ว่าอาการเจ็บป่วยของโรคจะไม่หายก็ตาม

กระบวนการฟื้นตัวทางจิตสังคม (psychological recovery) มีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้

1.  ความรู้สึกท่วมท้น (illness overwhelming)  ระยะที่บุคคลทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง  แต่ความคิดยิ่งสับสน  ทำให้เกิดการปฏิเสธการเจ็บป่วย  ขาดความมั่นใจและกลัวการเจ็บป่วย

2.  การยอมรับการเจ็บป่วย (illness acceptance) เป็นขั้นตอนที่จำเป็นมาก  เพราะการยอมรับการเจ็บป่วยจะช่วยทำให้บุคคลกระตือรือร้นที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่เป็น  และมีการปรับตัวเพื่อต่อสู้กับภาวการณ์เจ็บป่วย

3.  การสร้างความหวัง (development of  hope)  ความหวังที่จะมีสภาพชีวิตที่ดีท่ามกลางความเจ็บป่วย  เป็นสิ่งสำคัญต่อกระบวนการฟื้นตัวเพราะจะช่วยให้บุคคลที่แรงจูงใจที่จะปรับเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตเพื่อให้มี การฟื้นตัวที่ดี

4.  กำหนดตัวตนใหม่ (self-redefinition)  ระยะที่บุคคลพัฒนาตัวตนใหม่ที่แข็งแกร่ง  พัฒนาศักยภาพเพื่อต่อสู้กับภาวการณ์เจ็บป่วย  ซึ่งจะช่วยให้บุคคลเกิดความมั่นใจที่จะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตใหม่หลังการเจ็บป่วย

5.  พัฒนาความรับผิดชอบต่อตนเอง (developing self-responsibility) ระยะที่บุคคลเริ่มเข้าใจว่าไม่มียาวิเศษใดที่จะช่วยเขาได้  หากเขาไม่ดูแลตนเอง   ดังนั้นบุคคลจึงต้องมีแนวคิดที่จะสร้างระเบียบวินัยในชีวิตใหม่เพื่อให้เผชิญกับภาวการณ์เจ็บป่วยได้

6. เผชิญต่อสู้กับความทุกข์ยากในการดำเนินชีวิต (overcoming difficulties caused by the  illness)  บุคคลต้องมีวิธีการในการรับมือกับผลกระทบทางลบของการเจ็บป่วยได้อย่างสร้างสรรค์  เพราะการเจ็บป่วยเกิดผลกระทบทางลบอย่างมากมายต่อบุคคลและครอบครัว

แนวคิดพื้นฐานของกระบวนการฟื้นตัวทางจิตสังคม มีดังนี้

1. บุคคลสามารถพัฒนากระบวนการฟื้นตัวทางจิตสังคมได้เองโดยไม่ต้องอาศัยกระบวนการบำบัดรักษา  เพราะเป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่พัฒนาขึ้นจากการประสบการณ์การเรียนรู้ของตัวเอง

2.  บุคคลจะสามารถพัฒนากระบวนการฟื้นตัวทางจิตสังคมได้ก็ต่อเมื่อเขาอยู่ท่ามกลางคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจและเชื่อมั่นว่าเขาจะสามารถฟื้นตัวได้

3. กระบวนการฟื้นตัวทางจิตสังคมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้แม้ว่าอาการของโรคยังปรากฏอยู่

4. กระบวนการฟื้นตัวทางจิตสังคมเป็นกระบวนการที่มีโอกาสก้าวหน้าหรือถอยหลังได้ตลอดเวลา

การดูแลที่ส่งเสริมกระบวนการฟื้นตัว  พยาบาลจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวคิดในการดูแลเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดการฟื้นตัว   เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อการเจ็บป่วย  และวิถีปฏิบัติต่อผู้รับบริการและครอบครัวเพื่อส่งเสริมให้บุคคลเกิดกระบวนการฟื้นตัวที่ดี  และยกระดับการดูแลบุคคลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์

สรุปประเด็นสำคัญในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้

-  การให้ผู้ป่วยที่มีประสบการณ์โรคเดียวกัน  ได้รับการรักษาแบบเดียวกัน  ได้มีโอกาสพูดคุยกันจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้และการฟื้นตัวที่ดีได้

- การเปิดใจรับฟังผู้ป่วยให้มากขึ้น  จะทำให้เข้าใจผู้ป่วยได้มากขึ้น  และมีการดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ได้ดีขึ้น

- การปรับเปลี่ยนแนวคิด   พูดคุยกับผู้ป่วยในสิ่งที่ผู้ป่วยอยากเล่า  ไม่ใช่คุยในสิ่งที่พยาบาลอยากรู้  จะช่วยให้เข้าถึงผู้ป่วยได้มากขึ้น  และส่งเสริมกระบวนการฟื้นตัวได้ดี

- แนวคิดในการดูแลบุคคลแบบ Recovery Model  ควรเริ่มจากหน่วยงานที่สามารถทำได้ก่อนแล้วมีการขยายผลต่อไป  รวมทั้งในการเรียนการสอนที่ควรเริ่มมีการนำแนวคิด Recovery Model  มาใช้เพื่อเป็นพื้นฐานที่ดีในการดูแลบุคคลแบบ Recovery Model  ต่อไป

- การรับฟังผู้ป่วยและการคิดนอกกรอบจะช่วยส่งเสริมกระบวนการฟื้นตัวได้ดี

แนวทางการนำผลการประชุมไปใช้ จากการประชุมครั้งที่ 7

ในการเรียนการสอนและการดูแลผู้ป่วยหรือผู้รับบริการในทุกกลุ่มควรเริ่มมีการนำแนวคิด Recovery Model  มาใช้  เพื่อช่วยให้บุคคลมีกระบวนการฟื้นตัวที่ดี  สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขแม้ความเจ็บป่วยนั้นจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ก็ตาม

Print Friendly
ผู้เขียน อ.รัชชนก สิทธิเวช (ประวัติการเขียน 28 เรื่อง)

อาจารย์พยาบาลสังกัด ภาควิชาพื้นฐานการพยาบาล และบริหารวิชาชีพ


Tags: , ,

Comments are closed.