เมนูหลัก
หน้าหลัก
ข้อมูลการประกันคุณภาพ
ข้อมูลเกี่ยวกับบุคลากร
ข้อมูลเกี่ยวกับนักศึกษา
ข้อมูลการพัฒนาบุคลากร
ข้อมูลเกี่ยวกับวิชาการ
ข้อมูลครุภัณฑ์หน่วยงาน
ข้อมูลอาคารและสิ่งก่อสร้าง
ข้อมูลผลงานประเภทต่างๆ
ข้อมูลเกี่ยวกับการเงิน
ปฏิทินการแจ้งซ่อมครุภัณฑ์
ปฏิทินการขอใช้รถยนต์ราชการ
ปฏิทินการขอใช้ห้องประชุม
แผนภูมิแสดงข้อมูลงานวิจัย
แผนภูมิแสดงข้อมูลครุภัณฑ์
แผนภูมิแสดงแผนปฎิบัติการ
ดาว์โหลดเอกสารประเภทต่างๆ
สายตรงผู้อำนวยการ
   
เข้าระบบ
   
 
จำนวนผู้เข้าเยี่ยมชม
 
counter
   
หน้าหลัก » ข้อมูลผลงาน » ข้อมูลโครงการผลงาน
 
‹ ย้อนกลับ
 
หน่วยงาน : วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี
ประเภทผลงาน : โครงการวิจัย
ชื่อผลงาน: การเปรียบเทียบความตั้งใจและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการเลือกศึกษาวิชาชีพการพยาบาลของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ในเขตภาคตะวันออก ในปีการศึกษา 2547 กับปีการศึกษา 2553
  เป็นผลงานที่อยู่ในแผนส่งเสริมการนำเสนอผลงานวิชาการของวิทยาลัย
  ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากวิทยาลัยและ/หรือหน่วยงานอื่นๆ ในการไปนำเสนอผลงานวิชาการ
ชื่อผู้ทำผลงาน    
   
นางสาว มัณฑนา  เหมชะญาติ หัวหน้า
นาง รัชชนก  สิทธิเวช ผู้ร่วม
นาย ศุภกิจ  เฉลิมกิตติชัย ผู้ร่วม
กลุ่มสาขาวิชาการ : ภาควิชาการพยาบาลชุมชน และจิตเวชศาสตร์
    ความสำคัญและที่มาของปัญหา :
    ปัญหาการขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรง มากขึ้น แม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขและสถาบันการศึกษาพยาบาลต่างๆ ได้เร่งผลิตพยาบาลวิชาชีพเพื่อตอบสนองความต้องการของสถานบริการสุขภาพในระดับต่างๆ ของประเทศ สำหรับกระทรวงสาธารณสุขได้เพิ่มการรับนักศึกษาพยาบาลเป็นปีละ 2,500 คน แต่จำนวนพยาบาลวิชาชีพก็ยังไม่เพียงพอกับ ความต้องการในการบริการประชาชน ปัญหาการขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพมีสาเหตุและปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ภาระงานที่หนักโดยต้องปฏิบัติงานในยามวิกาลและวันหยุด การไม่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการของพยาบาลวิชาชีพเมื่อเริ่มปฏิบัติงาน และความแตกต่างของค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานในสถานบริการของรัฐและเอกชน กาญจนา จันทร์ไทย (2551) ระบุว่าโครงการประกันสุขภาพดีถ้วนหน้าทำให้พยาบาล ต้องรับภาระงานที่หนักขึ้น ส่งผลให้พยาบาลลาออกจากวิชาชีพ และภาวะการขาดแคลนพยาบาลรุนแรงขึ้น อีกทั้งภาคเอกชนก็มีความต้องการพยาบาลวิชาชีพเพิ่มมากขึ้น การได้รับค่าตอนแทนที่สูงกว่าภาครัฐเป็นปัจจัยสนับสนุนให้พยาบาลส่วนหนึ่งลาออกไปทำงานกับภาคเอกชน ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการในรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดสรรโควตาการรับนักศึกษาพยาบาลในเขตพื้นที่ต่างๆ ตามจำนวนประชากร รวมทั้งการกลับมาให้ทุนสนับสนุนการศึกษาแก่นักศึกษาพยาบาลและทำสัญญาผูกพันให้กลับไปปฏิบัติงานในพื้นที่ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาการกระจายอัตรากำลังพยาบาล แต่ยังมีปัญหาของการบรรจุเป็นข้าราชการ นอกจากนั้น กระทรวงสาธารณสุขยังมีการขยายโอกาสให้กับคนในพื้นที่ เช่น ภาคใต้ รัฐบาลได้จัดให้มีโครงการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่มเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยรับนักศึกษาพยาบาลในพื้นที่จำนวน 3,000 คน และดำเนินงานระหว่างปีการศึกษา 2550-2553 (สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข, 2551) แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนพยาบาลในภาพรวมของประเทศก็ยังคงมีอยู่ในภูมิภาคต่างๆ สำหรับการผลิตพยาบาลวิชาชีพในปัจจุบัน วิทยาลัยพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขมีการผลิตพยาบาลในระดับปริญญาตรีมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยของรัฐ และสถาบันการศึกษาเอกชน การคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาวิชาชีพการพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขนั้น ดำเนินการรับสมัครจากนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 โดยใช้รูปแบบของโควตาในลักษณะของการสอบตรงและการสอบในระบบแอดมิทชัน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสและสร้างทางเลือกให้บุคคลที่ต้องการศึกษาต่อในวิชาชีพการพยาบาลมากขึ้น ทั้งนี้ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาตามเงื่อนไขของการรับสมัครและการคัดเลือก (สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข, 2553) สภาวการณ์ปัญหาการขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพและการผลิตพยาบาลของสถาบันการศึกษาพยาบาลดังกล่าว รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ย่อมส่งผลถึงการเลือกเข้าศึกษาในวิชาชีพ การพยาบาลของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปี่ที่ 6 ที่มีความต้องการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งในปัจจุบัน มีหลากหลายสาขาวิชาชีพทั้งนักเรียนหญิงและนักเรียนชาย วิชาชีพการพยาบาลต้องการบุคคลที่มีทั้ง ความรู้พื้นฐานและเจตคติที่ดีต่อวิชาชีพ อีกทั้งควรมีคุณลักษณะอื่นๆ ที่เหมาะสม เช่น ความรับผิดชอบ ความอดทน ความเสียสละ ความเมตตากรุณา ฉะนั้น ผู้ที่จะเลือกศึกษาต่อในวิชาชีพการพยาบาลจึงควรเป็น ผู้ที่มีความสนใจและตั้งใจที่จะเข้าศึกษาอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาวิชาชีพ การพยาบาลในสังกัดใด ดังนั้น เมื่อสภาพสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและมีความเฉพาะในแต่ละภูมิภาค คณะผู้วิจัยในฐานะอาจารย์พยาบาลของสถาบันการศึกษาซึ่งตั้งอยู่ในภาคตะวันออกของประเทศ จึงมี ความสนใจในการศึกษาความเปลี่ยนแปลงของความตั้งใจและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการเลือกศึกษาวิชาชีพการพยาบาลของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ในเขตภาคตะวันออก ในปีการศึกษา 2547 กับ ปีการศึกษา 2553 ซึ่งการวิจัยครั้งนี้ใช้ทฤษฎีการกระทำพฤติกรรมโดยเจตนาเป็นกรอบแนวคิดในการศึกษา โดยคาดหวังว่าผลการวิจัยจะเป็นประโยชน์ในการสร้างเสริมความสนใจแก่กลุ่มเป้าหมายในการเลือกศึกษาวิชาชีพการพยาบาลเพิ่มมากขึ้นต่อไป
    วัตถุประสงค์ของโครงการ
    เพื่อเปรียบเทียบความตั้งใจและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการเลือกศึกษาวิชาชีพ การพยาบาลของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ในเขตภาคตะวันออก ในปีการศึกษา 2547 กับปีการศึกษา 2553
    ขอบเขตของโครงการผลงาน
    กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ ทฤษฎีการกระทำพฤติกรรมโดยเจตนา (The Theory of Planned Behavior; TPB) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่พัฒนาโดยนักจิตวิทยาชื่อ Icek Ajzen เพื่อทำนายพฤติกรรมและศึกษาตัวทำนายของพฤติกรรมนั้นๆ (Ajzen, 1991) ทฤษฎีนี้ได้รับการนำมาใช้อย่างกว้างขวางในการศึกษาพฤติกรรมต่างๆ และในกลุ่มประชากรที่หลากหลาย (Godin & Kok, 1996) ตามทฤษฎีนี้ บุคคลที่จะกระทำพฤติกรรมใดๆ จะมีการตัดสินใจโดยอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อเกี่ยวกับพฤติกรรมนั้นๆ ปัจจัยสำคัญที่ทำนายความตั้งใจที่จะกระทำพฤติกรรมนั้น (behavioral intention) ได้รับอิทธิพลจากปัจจัย 3 ประการ ได้แก่ เจตคติต่อพฤติกรรมนั้น (attitude) การคล้อยตามความเห็นของกลุ่มคนที่มีความสำคัญ (subjective norm) และการรับรู้เกี่ยวกับความสามารถในการกระทำพฤติกรรมนั้น (perceived behavioral control) โดยที่ปัจจัยทั้งสามดังกล่าวนี้เป็นผลมาจากความเชื่อพื้นฐานของแต่ละปัจจัย สำหรับความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ ในการพยากรณ์ความตั้งใจเข้าศึกษาวิชาชีพการพยาบาลตามกรอบของทฤษฎีนี้ แสดงในแผนภูมิที่ 1 ความตั้งใจเลือกศึกษาวิชาชีพ การพยาบาล ความเชื่อต่อความสามารถในการศึกษาวิชาชีพการพยาบาล ความเชื่อต่อวิชาชีพการพยาบาล ความเชื่อต่อ คนที่มีความสำคัญ เจตคติต่อวิชาชีพ การพยาบาล การคล้อยตามความเห็นของกลุ่มคนที่มีความสำคัญ การรับรู้ถึงความสามารถ ในการศึกษาวิชาชีพ การพยาบาล แผนภูมิที่ 1 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจเลือกศึกษาวิชาชีพการพยาบาล ในการพยากรณ์ความตั้งใจที่จะเข้าศึกษาต่อในวิชาชีพการพยาบาลของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ตามกรอบแนวคิดของทฤษฎีนี้ สามารถอธิบายได้ว่าความตั้งใจในการเข้าศึกษาต่อในวิชาชีพการพยาบาล ทำนายได้โดย 1) เจตคติต่อวิชาชีพการพยาบาล 2) การคล้อยตามความเห็นของกลุ่มคนที่มีความสำคัญในการเข้าศึกษาต่อวิชาชีพการพยาบาล และ 3) การรับรู้ถึงความสามารถของตนเองในการที่จะเข้าศึกษาต่อวิชาชีพการพยาบาล โดยเจตคติต่อวิชาชีพการพยาบาลจะขึ้นอยู่กับความเชื่อ และการให้คุณค่าแก่ผลลัพธ์ที่ จะเกิดขึ้นเมื่อเข้าศึกษาวิชาชีพการพยาบาล สำหรับการคล้อยตามความเห็นของกลุ่มคนที่มีความสำคัญจะขึ้นอยู่กับความเชื่อถือต่อบุคคลสำคัญ และความโน้มเอียงที่จะกระทำตามความเห็นของบุคคลสำคัญเหล่านั้นในการที่จะเข้าศึกษาในวิชาชีพการพยาบาล ส่วนการรับรู้ถึงความสามารถของตนเองในการเข้าศึกษาต่อวิชาชีพการพยาบาลจะขึ้นอยู่กับความเชื่อว่าตนเองมีสิ่งส่งเสริมหรือขัดขวางในการที่จะเข้าศึกษาวิชาชีพการพยาบาล และความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองที่จะควบคุมสิ่งต่างๆ ที่ส่งเสริมหรือขัดขวางการเข้าศึกษาวิชาชีพการพยาบาล
    ผลที่คาดว่าจะได้รับ
   
     นำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
  :
    บทคัดย่อ
   

วิชาชีพการพยาบาลจัดว่าเป็นสาขาวิชาชีพหนึ่งที่ขาดแคลนในประเทศไทยและทั่วโลก การเลือกเข้าศึกษาในวิชาชีพนี้ของนักเรียนเป็นข้อมูลสำคัญที่สะท้อนถึงแนวโน้มของวิชาชีพในอนาคต การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความตั้งใจและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการเลือกศึกษาวิชาชีพ การพยาบาลของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ในเขตภาคตะวันออก ในปีการศึกษา 2547 กับ 2553 โดยใช้ทฤษฎีการกระทำพฤติกรรมโดยเจตนา (Theory of Planned Behavior) เป็นกรอบในการศึกษา เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่คณะผู้วิจัยสร้างขึ้นตามกรอบทฤษฎีดังกล่าว ในเดือนธันวาคม 2547 และพฤศจิกายน 2553 จากนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ในเขตภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดตราด จันทบุรี ระยอง ชลบุรี สระแก้ว ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และนครนายก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การถดถอยเชิงพหุ (multiple regression) และ independent t-test

ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างในปีการศึกษา 2547 มีจำนวน 740 คน และปี 2553 มีจำนวน 733 คน รวมเป็นจำนวน 1,473 คน โดยภาพรวม นักเรียนส่วนใหญ่มีความตั้งใจเลือกศึกษาวิชาชีพการพยาบาล แต่อย่างไรก็ตาม นักเรียนทั้งหญิงและชายที่มีความตั้งใจเลือกศึกษาวิชาชีพการพยาบาลมีจำนวนลดลง และนักเรียนที่มีเกรดเฉลี่ยสูงมีความตั้งใจที่จะไม่เลือกศึกษาวิชาชีพการพยาบาลเป็นจำนวนเพิ่มขึ้นในทั้ง 2 ปีการศึกษา สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจเลือกศึกษาวิชาชีพการพยาบาลของนักเรียน พบว่าในทั้ง 2 ปีการศึกษา เจตคติต่อวิชาชีพการพยาบาลเป็นปัจจัยที่มีอำนาจทำนายเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ การรับรู้ในความสามารถของตนเองที่จะเรียนวิชาชีพการพยาบาล ส่วนการคล้อยตามความเห็นของกลุ่มคนที่มีความสำคัญไม่เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนั้น ยังพบว่าในช่วงระยะเวลาห่างกัน 6 ปีดังกล่าว นักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ในจังหวัดชลบุรีและปราจีนบุรีมีความตั้งใจในการเลือกศึกษาวิชาชีพการพยาบาล และมีเจตคติต่อวิชาชีพการพยาบาลลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่นักเรียน ในจังหวัดสระแก้วและนครนายกมีความตั้งใจในการเลือกศึกษาวิชาชีพการพยาบาล และมีการรับรู้ถึงความสามารถในการศึกษาวิชาชีพการพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

โดยสรุป ผลการวิจัยบ่งชี้ว่าในช่วงปีการศึกษา 2547 ถึง 2553 มีการเปลี่ยนแปลงของความตั้งใจ และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการเลือกศึกษาวิชาชีพการพยาบาลของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ในเขตภาคตะวันออก ซึ่งสถาบันการศึกษาพยาบาลควรมีการศึกษาวิจัยในรายละเอียด รวมทั้งดำเนินการเสริมสร้างปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจในการเลือกศึกษาวิชาชีพการพยาบาลในนักเรียนมัธยมศึกษาให้ เพิ่มมากขึ้น

คำสำคัญ : ความตั้งใจเลือกศึกษา วิชาชีพการพยาบาล นักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6

ดาว์โหลดไฟล์บทคัดย่อ :  ดาวน์โหลดไฟล์ 20130710104835.doc
 
  การเผยแพร่งานวิจัยการประชุม
  การเผยแพร่บทความวิจัย  
  การเผยแพร่บทความวิชาการ  
อ้างจากแผนปฏิบัติการ :
     บูรณาการกับโครงการบริการวิชาการ
     ความร่วมมืองานวิจัยกับบุคคลภายนอก
บูรณาการกับรายวิชา :
ปีปฏิทิน :
ปีการศึกษา :
ปีงบประมาณ :
วันที่เริ่ม :    วันที่แล้วเสร็จ :
แหล่งเงินทุน  
ภายใน จำนวนเงิน บาท
ภายนอก จำนวนเงิน บาท ระบุ
รวมจำนวนเงินทุน บาท
   
  ชื่อแฟ้มข้อมูล ขนาดแฟ้มข้อมูล จำนวนเข้าถึง วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด Download
ทั้งหมด 0 รายการ
 
Copyright©Prabormajchannok Instiute of Halth Workforce Development 2009  All rights reserved : Version 7.6